ฟุต บอลยูโร ชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือที่เรียกกันติดปาก ฟุต บอลยูโร เป็นการแข่งขันฟุตบอลในระดับทีมชาติ เพื่อหาทีมที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีปยุโรป บอลยูโรกี่ปีมีครั้ง ? ฟุตบอลยูโรจะจัดขึ้นทุกๆ 4 ปี ถ้าจะให้สังเกตง่ายๆก็คือ จะจัดขึ้นหลังจากที่ฟุตบอลโลกจบลงได้ 2 ปีนั่นเอง
โดยศึก ฟุตบอลยูโร 2020 ถือเป็นครั้งที่ 16 ของรายการนี้ ซึ่งรอบสุดท้ายจะจัดขึ้นในช่วงกลางเดือนมิถุนายน - กลางเดือนกรกฎาคม 2020 โดยปกติแล้วการแข่นขันจะถูกจัดขึ้นในประเทศที่ได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพ เพียงแค่ประเทศเดียว
แต่ใน บอลยูโร 2020 นี้ค่อนข้างจะพิเศษกว่าครั้งก่อนๆ ตรงที่การแข่งขันครั้งนี้จะไม่มีประเทศเจ้าภาพ ในลักษณะที่เป็นเจ้าภาพเดี่ยวจัดการแข่งขัน แต่จะเป็นเจ้าภาพร่วม โดยการแข่งขันในแต่ละนัด จะกระจายกันไปจัดขึ้นตามเมืองใหญ่ๆ ทั่วยุโรป เหตุผลก็เพราะ ปี 2020 ถือเป็นวาระสำคัญครบรอบ 60 ปีในการก่อตั้ง สหพันธ์ฟุตบอลยุโรป (ยูฟ่า)
ซึ่ง มิเชล พลาตินี (ประธานคนก่อน) เป็นหัวเรือใหญ่ในการนำเสนอแนวคิดนี้ โดยต่อมาได้มีการประกาศอย่างเป็นทางการถึง ประเทศและสนามที่จะใช้จัดการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2020 โดยจะมีมากถึง 12 เมืองและ 12 สนามทั่วทวีปยุโรป เรียกได้ว่าเป็นการแข่งขันของคนยุโรปอย่างแท้จริง โดยแต่ละสนามก็จะรับหน้าเสื่อในการจัดการแข่งขันรอบต่างๆแตกต่างกันออกไป ดังนี้
รอบชิงชนะเลิศและรอบรองชนะเลิศทั้ง 2 นัด
-เวมบลีย์ (ลอนดอน อังกฤษ)
รอบแรก 3 นัด และ รอบ 8 ทีม 1 นัด
-โอลิมปิยา สตาดิโอน (บากู อาเซอร์ไบจาน)
-ฟุตบอล อารีนา มิวนิค (มิวนิค เยอรมนี)
-สตาดิโอ โอลิมปิโก้ (โรม อิตาลี)
-เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก สตาดิโอน (เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก รัสเซีย)
รอบแรก 3 นัด และ รอบ 16 ทีม 1 นัด
-อัมสเตอร์ดัม อารีนา (อัมสเตอร์ดัม เนเธอร์แลนด์)
-ซาน มาเมส (บิลเบา สเปน)
-ยูโร สเตเดี้ยม (บรัสเซลส์ เบลเยียม) **สร้างไม่ทัน ถูกตัดสิทธิ์การแข่งขัน
-อารีนา นาติโอนาลา (บูคาเรสต์ โรมาเนีย)
-ปุสกัส เฟเรนซ์ สตาดิโอน (บูดาเปสต์ ฮังการี)
-ปาร์เก้น (โคเปนเฮเก้น เดนมาร์ก)
-ดับลิน อารีนา (ดับลิน สาธารณรัฐไอร์แลนด์)
-แฮมป์เดน พาร์ค (กลาสโกว์ สกอตแลนด์)
มาสคอต ถือว่าเป็น ตัวนำโชค ของการแข่งขันกีฬา และแน่นอนว่าในแต่ละการแข่งขัน ก็จะมี มาสคอต ที่แตกต่างกันออกไป และในปี 2020 นั้นก็ได้มีการประกาศ ยืนยันเกี่ยวกับ ชื่อ และ รูปร่าง ของตัวมาสคอต เอาไว้แล้ว ว่าชื่อ สกิลซี (Skillzy)
ในวันเปิดตัวทาง มาสคอต สกิลซี นั้นได้มาพร้อมกับ นักฟุตบอลสฟรีสไตล์ชั้นนำอย่าง โทเบียส เบคส์ และ ลิฟ คุก พร้อมกับแสดง ท่าทาง และ ทักษะ ท่ามกลางผู้คนกว่า 55,000 คน แต่ถึงอย่างไร มาสคอต ตัวนี้ก็ไม่ได้เป็นที่ถูกใจ ของบรรดาแฟนบอล ซักเท่าไหร่ หลังจากผลโหวต
แสดงให้เห็นว่า มีคนไม่ชอบสูงถึง 68% แต่ถึงอย่างไรก็ต้องรอดูต่อไปว่า วันแข่งขันจริง มาสคอต ตัวนี้จะแสดงกิริยา ท่าทาง ได้น่ารักขนาดไหน
ไอเดียกระฉูด!!! เปิดตัวมาสคอต บอลยุโร 2020 ดูเพลินมากกก อลังการ
มีการจับสลากแบ่งสายรอบคัดเลือกกันไปเป็นที่เรียบร้อย โดยมีทีมเข้าร่วมการแข่งขันทั้งหมด 55 ทีม แบ่งเป็น 10 กลุ่ม กลุ่มละ 5 ทีม 5 กลุ่ม และกลุ่มละ 6 ทีม 5 กลุ่ม ซึ่งผลการจับสลากได้ออกมาดังนี้
กลุ่มเอ: อังกฤษ, เช็ก, บัลแกเรีย, มอนเตเนโกร, โคโซโว
ภายในกลุ่ม A นั้นฟันธงได้ 100% เลยว่ามี 1 ทีมที่เข้ารอบต่อไปอย่างแน่นอน ก็คือ ทีมชาติ อังกฤษ แน่นอนว่าพวกเขาเป็นทีมที่ เล่นรอบคัดเลือก ได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะรายการไหนก็ตาม และล่าสุดพวกเขา ก็เก็บชัยชนะได้สองเกมรวด ทำให้เป็นจ่าฝูงของกลุ่มในเวลานี้ ส่วนทีมอันดับที่ 2 ที่จะเข้ารอบนั้น ก็คงจะต้องลุ้นกันระหว่าง เช็ก , บัลแกเรีย และ มอนเตเนโกร ซึ่งถ้าจะให้ทายก็คงจะเลือก ทีมชาติเช็ก เพราะว่ามีขุมกำลังที่ดีกว่าอีกสองทีม ส่วนทีม โคโซโว ปกติก็จะเป็นทีม แจกแต้ม และรอบคัดเลือกนี้ ก็น่าจะจบอันดับสุดท้ายเหมือนเคย
กลุ่มบี: โปรตุเกส, ยูเครน, เซอร์เบีย, ลิธัวเนีย, ลักเซมเบิร์ก
กลุ่มนี้มีแชมป์เก่าอย่าง โปรตุเกส อยู่ด้วย และหลายคนก็เชื่อว่าพวกเขานั้นจะผ่านเข้ารอบต่อไปอย่างแน่นอน แต่ด้วยผลงาน 2 นัดแรกที่พวกเขาเก็บไปได้เพียงแค่ 2 แต้ม ก็ทำให้หลายคนหันมามอง ทีมชาติ ยูเครน ที่มีนักเตะหนุ่มแทบทั้งทีม แต่ทำผลงานได้ดีจะเข้ารอบ เป็นอันดับ 1 ส่วนอันดับที่ 2 ก็คงจะเป็นทางทีม โปรตุเกส กับ เซอร์เบีย ที่ต้องมาแย่งกันเข้ารอบต่อไป ส่วนอีก 2 ทีมที่เหลือ ก็จะตกรอบไปอย่างแน่นอน
กลุ่มซี: เนเธอร์แลนด์ส, เยอรมัน, ไอร์แลนด์เหนือ, เอสโตเนีย, เบลารุส
กลุ่มซี นั้นมีทีมยักษ์ใหญ่ อยู่ 2 ทีมก็คือ เนเธอร์แลนด์ ที่มีการทำทีมใหม่ และมีผลงานได้ดีขึ้นกว่าเดิม กับ เยอรมนี ที่ยังคงใช้นักเตะชุดเดิมลงเล่น และก็ทำผลงานได้ดีเหมือนกัน ซึ่งใครที่อยู่ร่วมกลุ่มนี้ ก็อาจจะถือว่าซวยเป็นอย่างมาก็ว่าได้ แต่ถึงอย่างไรหลังจากผ่านการแข่งขันไป 2 เกมนั้นกลับเป็นทีมชาติ ไอร์แลนด์เหนือ ที่คว้าชัยชนะไปได้ 2 เกมติด จากการเอาชนะทีม เอสโตเนีย และ เบลารุส แต่ถึงอย่างไร ก็เชื่อว่า สุดท้ายแล้ว กลุ่มนี้ทีมที่เข้ารอบ 2 ทีมนั้นจะเป็น เยอรมัน กับ ฮอลแลนด์
กลุ่มดี: สวิตเซอร์แลนด์, เดนมาร์ก, ไอร์แลนด์, จอร์เจีย, ยิบรอลตาร์
กลุ่มนี้มีทีมที่น่าจะผ่านเข้ารอบอยู่ 3 ทีมก็คือ สวิตเซอร์แลนด์ , เดนมาร์ก และ ไอร์แลนด์ โดยเฉพาะทีม สวิต ที่มักจะเอาชนะทีมชาติใหญ่ๆได้ และนั่นก็อาจจะเพราะว่า นักเตะตัวหลักๆของพวกเขาส่วนใหญ่เล่นอยู่ใน ลีกชั้นนำ แต่ถึงอย่างไรในตอนนี้ ก็เป็นทางทีมชาติ ไอร์แลนด์ ที่ทำผลงานได้ดีที่สุด คว้าชัยชนะไป 2 นัดจากการเล่น 2 เกม นำเป็นจ่าฝูง อยู่ในเวลานี้ และถ้าหากพวกเขายังเล่น ด้วยฟอร์มการเล่น คงเส้นคงวาแบบนี้ ก็น่าจะผ่านเข้ารอบต่อไปได้ไม่ยาก ส่วนอีกสองทีม ก็ต้องลุ้นกันต่อไปว่าใครจะพลาดทำแต้มหลุดมือก่อนกัน
กลุ่มอี: โครเอเชีย, เวลส์, สโลวะเกีย, ฮังการี, อาเซอร์ไบจาน
กลุ่มอี นี้รองแชมป์ ฟุตบอลโลก อย่างทีมชาติ โครเอเชีย อยู่ด้วย แต่ผลงานโดยรวมหลังจากแข่งไป 2 นัดก็ไม่ดีเท่าที่ควร หลังมีเพียงแค่ 3 แต้ม ส่วนทีมชาติ เวลส์ ที่มีสุดยอดนักเตะอย่าง แกเร็ธ เบล อยู่นั้นก็พึ่งลงแข่งไปเพียงแค่ 1 เกมและก็คว้าชัยชนะได้ด้วย โดยเชื่อว่ากลุ่มนี้ทางทีมชาติ เวลส์ นั้นจะเข้ารอบได้เป็นที่ 1 ของสาย เนื่องจากพวกเขาเล่นกันเป็นทีม เน้นผลชนะ เป็นหลัก ส่วนอันดับ 2 น่าจะเป็นทีม รองแชมป์ฟุตบอลโลก โครเอเชีย
กลุ่มเอฟ: สเปน, สวีเดน, นอร์เวย์, โรมาเนีย, หมู่เกาะแฟโร, มอลต้า
กลุ่มนี้จะมีทั้งหมด 6 ทีม มากกว่า 5 กลุ่มก่อนหน้านี้ ซึ่งการแข่งขันก็เหมือนจะยากขึ้น แต่สำหรับกลุ่มนี้ไม่ใช่ เนื่องจากมีทีมชาติ สเปน ที่มีนักเตะชื่อดัง ค้าแข้งอยู่ใน ลีกชั้นนำทั้งทีม และแน่นอนว่าพวกเขาก็ทำผลงานออกมาได้ดี ด้วยการคว้าชัยชนะได้ 2 เกมแรก นำเป็นจ่าฝูงของกลุ่มในเวลานี้ และถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ก็น่าจะเข้าเป็นที่ 1 ของสายด้วย ส่วนอันดับที่สอง ก็จะเป็นการแย่งกันระหว่างทีม สวีเดน กับ โรมาเนีย ซึ่งถ้าจะให้ฟันธงของกลุ่มนี้ ก็น่าจะเป็น ทีมชาติสเปน กับ ทีมชาติสวีเดน ที่จะเข้ารอบ ส่วนทีมอื่นๆ ก็น่าจะทำผลงานได้ดีที่สุด แต่ไม่ถึงฝั่งฝัน
กลุ่มจี: โปแลนด์, ออสเตรีย, อิสราเอล, สโลวิเนีย, มาซิโดเนีย, ลัตเวีย
กลุ่มจี นั้นมีทีมที่น่าจะเข้ารอบเป็นอันดับหนึ่งอย่าง โปแลนด์ ที่มักจะทำผลงานได้ดี ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยสม่ำเสมอก็ตาม แต่ในรอบคัดเลือก ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาก็จะ ทำผลงานได้ดี และเข้ารอบต่อไปได้สูง ส่วนอันดับ 2 ถ้ามองจากชื่อชั้นแล้ว ก็น่าจะเป็นทีม ออสเตรีย แต่ด้วยผลงานที่ย่ำแย่ แพ้ 2 นัดรวด ทำให้ทีม มาซิโดเนีย กับ อิสราเอล เป็นสองทีมเต็ง ที่มีโอกาสจะเข้ารอบเป็นอันดับที่ 2
กลุ่มเอช: ฝรั่งเศส, ไอซ์แลนด์, ตุรกี, แอลเบเนีย, มอลโดวา, อันดอร์รา
กลุ่มเอช กลุ่มนี้มีทีมเต็งแชมป์ ยูโร อย่าง ฝรั่งเศส ที่พึ่งเป็นแชมป์ ฟุตบอลโลก 2018 มา ซึ่งแน่นอนว่าพวกเขาก็เป็นทีมเต็งที่จะ ผ่านเข้ารอบต่อไปเป็นอันดับหนึ่ง ส่วนอันดับที่สอง ของกลุ่มนี้ ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ก็น่าจะเป็นทีมชาติ ตุรกี ที่ทำผลงานออกมาได้ดี ไม่แพ้ ทีมชาติฝรั่งเศส ที่ต่างเก็บชัยชนะได้ทั้งสองนัด จากการเล่น 2 เกม และทำประตูกันอย่างมากมาย ทำให้กลุ่มนี้ มีเพียงแค่ 2 ทีมที่มีโอกาสเข้ารอบสูง
กลุ่มไอ: เบลเยียม, รัสเซีย, สก็อตแลนด์, ไซปรัส, คาซัคสถาน, ซาน มาริโน
กลุ่มไอ มีหนึ่งในทีมเต็งแชมป์อย่าง เบลเยียม อยู่ และแน่นอนว่าพวกเขาก็ทำ ผลงานออกมาได้อย่าง ยอดเยี่ยมด้วย ซึ่งพวกเขาก็น่าจะเข้ารอบต่อไป ด้วยการเป็นอันดับหนึ่งของสาย ส่วนทีมอันดับที่สอง ก็น่าจะต้องลุ้นกันมันส์ ระหว่างทีม รัสเซีย , สก็อตแลนด์ และ ไซปรัส ส่วนทีมอื่น ก็น่าจะทำได้เพียง พยายามทำผลงานให้ดีที่สุดเท่านั้น
กลุ่มเจ: อิตาลี, บอสเนีย, ฟินแลนด์, กรีซ, อาร์เมเนีย, ลิชเทนสไตน์
กลุ่มเจมีทีมเต็งที่จะเข้ารอบแน่ๆ 1 ทีมก็คือทีมชาติ อิตาลี ที่ทำผลงานออกมาได้ดี และเก็บ 6 แต้ม ยิง 8 ประตูได้โดยไม่เสียประตู ซึ่งจากผลงานของพวกเขาแล้ว ก็น่าจะเป็นที่หนึ่งได้ 100% ส่วนทีมที่สอง ก็ต้องมาลุ้นกัน ระหว่างทีมชาติ บอสเนีย กับ กรีซ ที่ต่างทำผลงานออกมาได้ดีพอสมควร แต่ถ้าหากไม่มีอะไรผิดพลาด ทีมที่น่าจะเข้ารอบของกลุ่มนี้ก็คือ อิตาลี กับ บอสเนีย
โดยการแข่งขันครั้งนี้จะไม่มีชาติใด ได้รับโควต้าผ่านเข้าไปเล่นรอบสุดท้ายอัตโนมัติ เนื่องจากเป็นการแข่งขันแบบเจ้าภาพร่วมหลายชาติ ซึ่งในรอบสุดท้ายจะมีทีมผ่านเข้ารอบทั้งหมด 24 ทีม โดยมาจากทีมที่ได้แชมป์กลุ่มและรองแชมป์กลุ่มในรอบคัดเลือกรวมเป็น 20 ทีม ส่วนอีก 4 ทีมที่เหลือแต่เดิมนั้นจะมาจากอันดับ 3 ที่ดีที่สุดในแต่ละกลุ่ม 8 ทีม มาจับสลากแข่งรอบเพลย์ออฟ ซึ่งผู้ชนะทั้ง 4 ก็จะผ่านเข้าไปเล่นในรอบสุดท้าย แต่ครั้งนี้แตกต่างออกไป โดยอีก 4 ทีมที่เหลือจะมาจาก ผู้ชนะในรอบเพลย์ออฟของศึก “ยูฟ่า เนชันส์ลีก” ซึ่งเป็นรายการที่ ยูฟ่า จัดขึ้นมาใหม่นั่นเอง
สมัครแทงบอลยูโร maxbet ให้ราคาดีกว่า sbobet และ maxbet pro ให้เยอะกว่า ทุกยอดเล่แลกของได้ << เข้าดูก่อนที่นี่
ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือที่เรียกกันติดปากว่า “ฟุตบอลยูโร” เป็นทัวร์นาเมนต์การแข่งขันฟุตบอลทีมชาติในทวีปยุโรป ที่รวมเอาทุกประเทศในทวีปมาแข่งขันกัน จัดขึ้นทุกๆ 4 ปี หรือสังเกตง่ายๆคือจัดขึ้นหลังฟุตบอลโลก 2 ปี จัดขึ้นโดย สมาคมฟุตบอลยุโรป (ยูฟ่า) เริ่มต้นมาจากแนวคิดของ อองรี เดอโลเนย์ เลขาธิการสหพันธ์ฟุตบอลฝรั่งเศสขณะนั้น เริ่มต้นการแข่งขันครั้งแรกขึ้นในปี 1960 โดยถ้วยรางวัลของรายการใช้ชื่อว่า อองรี เดอโลเนย์ ตามชื่อผู้ก่อตั้งและผู้ริเริ่มให้มีการแข่งขันฟุตบอลรายการนี้อีกด้วย
แชมป์และเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในแต่ละครั้ง
-ครั้งที่ 1 ปี 1960
เป็นการแข่งขันที่จัดขึ้นครั้งแรก โดยใช้ชื่อว่า “ยูโรเปียน เนชันส์ คัพ” จัดขึ้นที่ประเทศฝรั่งเศส โดยในครั้งนี้มีทีมที่เข้าร่วมการแข่งขันเพียงแค่ 4 ทีมเท่านั้น ได้แก่ สหภาพโซเวียต, ฝรั่งเศส, เชกโกสโลวเกีย และ ยูโกสลาเวีย โดยนัดชิชนะเลิศเป็นการพบกันระหว่าง สหภาพโซเวียต กับ ยูโกสลาเวีย ซึ่งผลปรากฏว่า สหภาพโซเวียต สามารถเอาชนะไปได้ 2-1 คว้าแชมป์ครั้งแรกไปครอง
-ครั้งที่ 2 ปี 1964
การแข่งขันในครั้งนี้จัดขึ้นที่ประเทศสเปน และในนัดชิงชนะเลิศเป็นการพบกันระหว่างเจ้าภาพพบกับสหภาพโซเวียต และเป็นเจ้าภาพสเปน ที่เบียดเอาชนะไปได้ 2-1 คว้าแชมป์ครั้งที่ 2 ในรายการนี้ไปครอง
-ครั้งที่ 3 ปี 1968
ในครั้งนี้มีการเปลี่ยนชื่อจาก “ยูโรปียน เนชันส์ คัพ” มาเป็น “ยูฟ่า ยูโรเปี้ยน แชมเปี้ยนชิพ” อีกทั้งยังเปลี่ยนรูปแบบการแข่งขันจากเดิมที่เป็นแบบน็อคเอาท์ มาเป็นแบบแบ่งกลุ่มโดยแบ่งเป็น 8 กลุ่ม และแชมป์ของแต่ละกลุ่มจะผ่านเข้ารอบน็อคเอาท์ต่อไป โดยแชมป์ในครั้งนี้ตกเป็นของเจ้าภาพ อิตาลี ที่สามารถเอาชนะ ยูโกสลาเวีย ไปได้ 2-0 ในนัดรีเพลย์ หลังจากที่นัดแรกเสมอกันไป 0-0
-ครั้งที่ 4 ปี 1972
รอบสุดท้ายจัดขึ้นที่ประเทศเบลเยียม โดยใช้รูปแบบการแข่งขันเหมือนกับครั้งผ่านมา ซึ่งในครั้งนี้เป็น เยอรมันตะวันตก ที่อัด สหภาพโซเวียต ยับเยินถึง 3-0 โดยการนำทัพของสุดยอดตำนานอย่าง แกร์ด มุลเลอร์
-ครั้งที่ 5 ปี 1976
นัดชิงจัดขึ้นที่ประเทศยูโกสลาเวีย โดนในครั้งนี้เป็นครั้งที่นัดชิงชนะเลิศต้องตัดสินด้วยการดวลจุดโทษเป็นครั้งแรก หลังจากที่ เยอรมนีตะวันตก เสมอกับ เชโกสโลวาเกีย ไป 2-2 และเป็น ชโกสโลวาเกีย ที่เป็นฝ่ายได้รับชัยชนะในการดวล คว้าแชมป์ยูโรครั้งที่ 5 นี้ไปครอง
-ครั้งที่ 6 ปี 1980
ในครั้งนี้มีการเปลี่ยนแปลงระบบการการแข่งขันขึ้น โดยในรอบ 8 ทีมสุดท้าย จะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม แข่งแบบพบกันหมดในกลุ่ม และทีมที่ได้แชมป์กลุ่ม จะต้องมาพบกันเองในนัดชิงฯ ที่ประเทศอิตาลี ผลปรากฏว่า เยอรมันตะวันตก สามารถเอาชนะ เบลเยียมไปได้ 2-1 คว้าแชมป์ไปครองได้อีกสมัย
-ครั้งที่ 7 ปี 1984
จัดขึ้นที่ประเทศฝรั่งเศส ในครั้งนี้มีการยกเลิกนัดชิงที่ 3 ทำให้ไม่มีทีมใดได้อันดับที่ 3 และครั้งนี้มีการเปลี่ยนระบบอีกครั้งคือ ทีมที่มีคะแนนดีที่สุด 2 ทีม ของทั้ง 2 กลุ่ม (กลุ่มละ 8 ทีม) จะผ่านเข้าไปเล่นรอบตัดเชือก และในนัดชิงชนะเลิศเป็นการพบกันระหว่างเจ้าภาพ และทีมชาติสเปน สุดท้ายเป็นเจ้าภาพที่เอาชนะไปได้ 2-0 เป็นแชมป์รายการนี้สมัยแรกของฝรั่งเศส อีกทั้งยังมีเรื่องที่สุดยอดเกิดขึ้น คือการทำ 9 ประตูใน 5 นัดของ มิเชล พลาตินี่ โคตรลูกหนังชาวฝรั่งเศส ซึ่งสถิตินี้ยังคงเป็นสถิติดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลมาจนถึงปัจจุบัน
-ครั้งที่ 8 ปี 1988
ฮอลแลนด์ ในยุคสมัยที่สุดยอดนำโดย รุด กุลลิต, แฟรงค์ ไรจ์การ์ด และ มาร์โก แฟน บาสเทน สามารถพาทีมผงาดคว้าแชมป์รายการนี้เป็นครั้งแรกได้สำเร็จ หลังจากที่เอาชนะเจ้าภาพ เยอรมันตะวันตก ในรอบรองชนะเลิศ และผ่านเข้าไปเอาชนะ สหภาพโซเวียต ในนัดชิงฯ ด้วยสกอร์ 2-0
-ครั้งที่ 9 ปี 1992
ที่สวีเดน เป็นปีที่เกิดเหตุการณ์ “เทพนิยายเดนส์” ขึ้น หลังจากที่ ทีมชาติเดนมาร์ก ที่ได้สิทธิ์เข้ารอบมาอย่างบังเอิญ เนื่องจาก ยูโกสลาเวีย ถูกตัดสิทธิ์ โดยนี่ถือเป็นยูโรครั้งที่พลิกล็อคที่สุดในประวัติศาสตร์ “ทัพโคนม” สามารถผ่านเข้ามาถึงรอบชิงชนะเลิศ และเอาชนะทีมสุดแกร่งอย่าง เยอรมนี ไปได้ 2-0 คว้าแชมป์ไปครองอย่างน่ามหัศจรรย์ โดยผู้เล่นที่ได้รับการยกย่องมากที่สุดคือ ปีเตอร์ ชโมเคิ่ล หนึ่งในสุดยอดผู้รักษาประตูระดับตำนานของโลก
-ครั้งที่ 10 ปี 1996
เป็นที่มีการเปลี่ยนแปลงระบบการแข่งขันมากที่สุดคือ มีทีมที่เข้ารอบสุดท้ายถึง 16 ทีม โดยจะแบ่งออกเป็นกุล่ม กลุ่มละ 4 ทีม และทีมที่มีคะแนนมากที่สุด 2 อันดับแรกของแต่ละกลุ่ม จะเข้าไปสู่รอบ 8 ทีมสุดท้าย โดยรอบนี้จะเป็นแบบน็อคเอาท์ และเป็นปีแรกที่มีการนำเอาระบบ “โกลเด้น โกล” มาใช้ในการตัดสิน ซึ่งการแข่งขันครั้งนี้จัดขึ้นที่ ประเทศอังกฤษ และเป็นเยอรมนี ที่คว้าแชมป์ไปครองอีกหนึ่งสมัย โดยเป็น โอลิเวอร์ เบียร์โฮฟ ที่เหมาคนเดียว 2 ประตู พาทีมเอาชนะ ทีมชาติเช็ก 2-1 และที่สำคัญคือประตูที่ 2 เป็นลูก “โกลเด้น โกล” ตามกฎใหม่ของฟีฟ่าอีกด้วย
-ครั้งที่ 11 ปี 2000
เป็นครั้งที่ที่มีเจ้าภาพร่วม โดยเป็น ประเทศเบลเยียม และ เนเธอร์แลนด์ ที่รับหน้าที่นี้ และเป็น “ตราไก่” ฝรั่งเศส ที่คว้าแชมป์ไปครองเป็นสมัยที่ 2 ซึ่งไฮไลท์ของปีนี้อยู่ที่ การทำประตู “โกลเด้น โกล” ในนัดชิงชนะเลิศ ที่พบกับ อิตาลี ของ ดาวิด เทรเซเกต์ ตัวสำรองที่ถูกเปลี่ยนลงมา ทำให้ฝรั่งเศส เอาชนะไปได้ 2-1
-ครั้งที่ 12 ปี 2004
เป็นอีกครั้งที่ความมหัศจรรย์ได้เกิดขึ้น โดยเป็น ทีมชาติกรีซ ม้ามืดประจำทัวร์นาเมนต์ ที่สามารถสร้างตำนานคว้าแชมป์ได้สำเร็จ ด้วยการเอาชนะเจ้าภาพ ทีมชาติโปรตุเกส ในนัดชิงชนะเลิศ ไปได้ 1-0 กลายเป็นเทพนิยายอีกบทหนึ่ง ที่เกิดขึ้นในรายการนี้
-ครั้งที่ 13 ปี 2008
เป็นอีกครั้งที่มีเจ้าภาพร่วม โดยครั้งนี้เป็น ออสเตรีย และ สวิตเซเอร์แลนด์ซึ่งในนัดชิงชนะเลิศเป็น ทีมชาติสเปน ที่สามารถคว่ำ ทีมชาติเยอรมัน ได้สำเร็จ จากประตูโทนของ เฟร์นันโด ตอร์เรส ทำให้ “กระทิงดุ” คว้าแชมป์รายการนี้เป็นสมัยที่ 2 ไปครอง และนี่คือจุดเริ่มต้นการครองโลกของ ทีมชาติสเปน ในเวลาต่อมา
-ครั้งที่ 14 ปี 2012
ยังอยู่ในยุคที่ ทีมชาติสเปน กำลังครองโลก หลังจากที่พวกเขาสามารถคว้าแชมป์โลกได้ในปี 2010 อีก 2 ปีต่อมา พวกเขาก็สามารถคว้าแชมป์ยูโรเป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกัน ซึ่งเป็นสมัยที่ 3 ของทัพ “กระทิงดุ” บนแผ่นดินของเจ้าภาพร่วมอย่าง ยูเครน และโปแลนด์ ด้วยการถล่มเอาชนะ อิตาลี ไปอย่างขาดลอยด้วยสกอร์ 4-0
-ครั้งที่ 15 ปี 2016
ยูโรครั้งล่าสุด จัดขึ้นที่ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเจ้าภาพที่เต็มไปด้วยซูเปอร์สตาร์ล้นทีม โชว์ฟอร์มได้อย่างแข็งแกร่งมาโดยตลอด จนมาถึงนัดชิงฯ ที่ต้องพบกับ โปรตุเกส ที่ฟอร์มกระท่อนกระแท่นเหลือเกิน กว่าจะผ่านมาถึงรอบชิงฯได้ และแล้วการพลิกล็อคก็เกิดขึ้น เมื่อโปรตุเกส มาได้ประตูชัยในช่วงต่อเวลาพิเศษ จากตัวสำรองอย่าง เอแดร์ ทำให้พวกเขาสร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์ยูโรไปครองเป็นสมัยแรกได้สำเร็จ
ดูกันให้จุใจ สวยทุกสนาม ภาพแบบ HD
ยังมีข้อมูล อีกเพียง ทั้งหมดครบ 12 สนาม เจ้าภาพ ยูโร 2020 รอคุณอยู่ด้านล่าง
1.ประเทศ อังกฤษ – Wembley Stadium : London
สนามแห่งนี้นั้นถือว่า เป็นสนามที่เก่าแก่ และใช้จัดการแข่งขัน นัดชิง มาหลายต่อหลายรายการ และ หลายกีฬา แล้วด้วย โดยครั้งนี้สนามแห่งนี้ก็จะถูกใช้ให้แข่งขันในเกม รอบรองชนะเลิศ และ รอบชิงชนะเลิศ
2.ประเทศ เยอรมัน – Allianz Arena:Munich
สนามแห่งนี้ นั้นเป็นสนามเหย้าของสโมสร บาเยิร์น มิวนิค และเป็นสนามที่มีการ ออกแบบรูปลักษณ์ ที่โดดเด่น ซึ่งเรียกได้ว่า ใครเห็นก็รู้เลยว่านี่คือ อลิอันซ์ สเตเดี้ยม จะถูกให้ใช้แข่งขันใน รอบแบ่งกลุ่ม และ รอบก่อนรองชนะเลิศ
3.ประเทศ อิตาลี – Stadio Olimpico:Rome
สนาม Stadio Olimpico นั้นตั้งอยู่ในกรุงโรม เป็นสนามเหย้าของสโมสร ลาซิโอ้ และ อาแอส โรม่า โดยสนามแห่งนี้ จะถูกตั้งให้ใช้แข่งขันในเกม นัดชิงชนะเลิศ ฟุตบอล โคปป้า อิตาเลีย อีกด้วย สนามแห่งนี้จะถูกใช้ในการแข่งขัน รอบแบ่งกลุ่ม และ รอบก่อนรองชนะเลิศ
4.ประเทศ อาร์เซอร์ไบจัน – Baku National Stadium:Baku
สนาม Baku นั้นเป็นสนามกีฬาแห่งชาติ อาร์เซอร์ไบจัน และที่สำคัญพึ่งสร้างเสร็จในช่วงปี 2015 เองด้วย ซึ่งนี่ก็จะเป็นการจัดการแข่งขัน ยิ่งใหญ่ ครั้งแรกของสนามแห่งนี้เลยด้วย โดยจะถูกใช้งาน ในรอบแบ่งกลุ่ม และ รอบก่อนรองชนะเลิศ
5.ประเทศ รัสเซีย – Krestovsky Stadium: Saint Petersburg
สนามแห่งนี้ เป็นสนามเหย้าของสโมสร เซนิต เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เป็นสนามที่พึ่งสร้างเสร็จในช่วงปี 2016 และจะถูกใช้ในการแข่งขัน รายการใหญ่อย่าง ฟุตบอลโลก 2018 มาแล้วด้วย โดยครั้งนี้ก็จะถูกใช้ในการแข่งขัน ฟุตบอลยูโร 2020 อีกครั้ง โดยจะถูกใชงาน ในรอบ แบ่งกลุ่ม และ ก่อนรองชนะเลิศ
6.ประเทศ โรมาเนีย – Arena Națională:Bucharest
สนาม อารีน่า เนชั่นเนล่า เป็นสนามกีฬาแห่งชาติ โรมาเนีย และยังเป็นสนามเหย้าของสโมสร สเตอัว บูคาเรสต์ และ ดินาโม บูคาเรสต์ อีกด้วย สนามแห่งนี้จะถูกใช้ใน รอบแบ่งกลุ่ม และ รอบ 16 ทีมสุดท้าย
7.ประเทศ เนเธอร์แลนด์ – Amsterdam Arena:Amsterdam
อัมสเตอร์ดัม อารีน่า สนามเหย้าของสโมสร อแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม เป็นสนามที่มี ถนนลอดใต้สนามได้ โดยสนามบอลแห่งนี้ เคยถูกใช้งาน ในเกมนัดชิง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก , การแข่งขันฟุตบอลยูโร และ การแข่งขัน ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก มาแล้วด้วย และครั้งนี้จะถูกใช้ใน รอบแบ่งกลุ่ม และ รอบ 16 ทีมสุดท้าย
8.ประเทศ ไอร์แลนด์ – Aviva Stadium: Dublin
สนามบอล ดับลิน เป็นสนามกีฬาแห่งชาติ ไอร์แลนด์ เป็นสนามเหย้าของทีมชาติ รวมไปถึงเป็นสนามของกีฬา รักบี้ อีกด้วย โดยสนามแห่งนี้จะถูกใช้งานในรอบ แบ่งกลุ่ม และ 16 ทีมสุดท้าย
9.ประเทศ สเปน – San Mamés Stadium:Bilbao
สนามแห่งนี้ตั้งอยู่ที่เมือง บิลเบา และแน่นอนว่าก็ต้องเป็นสนามเหย้าของสโมสร แอธเลติก บิลเบา อย่างแน่นอน สนามแห่งนี้ นั้นถูกสร้างใหม่แทนที่สนามเดิม และเปิดให้ใช้งานในปี 2014 โดยครั้งนี้จะถูกใช้งานในรอบ แบ่งกลุ่ม และ 16 ทีมสุดท้าย
10.ประเทศ ฮังการี – New Puskás Ferenc Stadium: Budapest
สนามฟุตบอลแห่งนี้ ได้รับการยอมรับ จากทาง ยูฟ่า ให้เป็นสนามระดับ 5 ดาว เนื่องจากมีสิ่งอำนวยความสะดวก ครบครัน สนามแห่งนี้จะถูกสร้างเสร็จในปี 2019 โดยจะถูกใช้งานในรอบ แบ่งกลุ่ม และ 16 ทีมสุดท้าย
11.ประเทศ สกอตแลนด์ – Hampden Park:Glasgow
สนามแห่งนี้ เป็นสนามเหย้าของทีมชาติ สกอตแลนด์ และ สโมสร ควีนส์ปาร์ค เอฟซี โดยสนามจะถูกใช้งานในรอบ แบ่งกลุ่ม และ รอบ 16 ทีมสุดท้าย
12.ประเทศ เดนมาร์ก – Parken Stadium Copenhagen
สนามแห่งนี้ ตั้งอยู่ในเมือง โคเปเฮเก้น และถือว่าเป็นสนามเหย้าของทีมชาติ เดนมาร์ก และเคยใช้แข่งขัน ในรายการใหญ่ๆ มาหลายต่อหลายครั้งแล้ว นอกจากนั้นสนามนี้ยังเป็นที่จดจำ อีกด้วย เนื่องจาก มีสนามที่เป็นเหลี่ยม ถือว่าเป็น ดีไซน์ ดียอดเยี่ยมเลยทีเดียว โดยถูกใช้ในการแข่งรอบ แบ่งกลุ่ม และ 16 ทีมสุดท้าย
ฟุตบอลยูโร 2020 รายการฟุตบอลทีมชาติสุดมันส์ ที่อุดมไปด้วยสุดยอดทีมชั้นนำจากชาติยุโรป ไม่ว่าจะเป็น ฝรั่งเศส, เยอรมนี, อังกฤษ, สเปน, อิตาลี และอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งการแข่งขันรอบแบ่งกลุ่ม 24 ทีมนั้นก็จะเริ่มขึ้นแล้ว สามารถติดตามเชียร์ทีมรัก ได้ทุกการแข่งขัน และถ้าหากมีข้อมูลอะไรอัพเดทเราก็จะเอามา นำเสนอ ให้กับทุกท่าน ได้รับทราบเพิ่มเติมอีก ติดตามได้ที่ @IBCTH
= แทงบอล maxbet ราคายูโรเปิดแล้ว เหมือนที่คาดการ!
= ตารางยูโร อัพเดตทุกทีมแล้ว ที่นี่ skysports.com
= ติดตามข้อมูล บอลยูโร อัพเดตทุกชั่วโมง จนถึงวันแข่ง Euro 2020